แอนฟิลด์ ไม่ขลัง ช่วงเวลาแบบนี้มันให้ความรู้สึกคล้ายเดินเข้าไปในบ้านที่เคยอบอุ่นแต่วันนี้กลับรู้สึกเย็นกว่าทุกครั้งที่จำได้ ผมอยู่ข้างสนามในเกมที่ลิเวอร์พูลเสมอกับซันเดอร์แลนด์หนึ่งต่อหนึ่ง และมันไม่ใช่เพียงแค่ผลการแข่งขันที่สะดุด แต่เป็นบรรยากาศทั้งสนามที่เหมือนถูกบดทับด้วยความกังวลบางอย่าง เหมือนทุกคนกำลังตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับทีมที่เคยทำให้กองเชียร์เชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้
ตลอดสามเกมหลังสุดในบ้าน แฟนบอลเริ่มสังเกตถึงสัญญาณที่ไม่ปกติ เพราะความพ่ายแพ้ต่อฟอเรสต์สามต่อศูนย์ ตามด้วยการโดนพีเอสวีบุกมาถล่มหนึ่งต่อสี่ ก่อนจะมาจบด้วยผลเสมอซันเดอร์แลนด์ มันไม่ใช่แค่สถิติที่ดูแปลกตา แต่มันสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงที่กำลังกัดกินทีมนี้อย่างเงียบๆ ราวกับมีอะไรบางอย่างเริ่มหลวมและยังหาต้นตอไม่เจอ
จากมุมมองตรงริมสนาม ผมเห็นการเคลื่อนที่ที่ไม่ไหลลื่นเหมือนเดิม การประสานงานที่ขาดจังหวะ การเซตเกมที่เหมือนมีแรงเสียดทานมากกว่าปกติ และที่สำคัญ การยิงไม่ได้ในครึ่งแรกต่อเนื่องนานสี่นัดในลีก มันไม่ใช่เรื่องเล็กเลยสำหรับทีมที่เคยตะบันคู่แข่งตั้งแต่ต้นเกมจนลนลานอยู่เสมอ
จุดที่เครื่องยนต์เริ่มสะดุดจากสิ่งที่คนทั่วไปไม่เห็น
เวลาคุณยืนอยู่ข้างสนาม คุณจะเห็นรายละเอียดที่จอทีวีซ่อนเอาไว้ เช่น การเคลื่อนตัวที่ช้ากว่าหนึ่งก้าว การมองหาตำแหน่งว่างแต่เจอช่องปิดเร็วกว่าปกติ การประสานกันระหว่างแผงกลางกับแผงรุกที่ขาดแรงผลักเหมือนก่อนหน้านี้ ลิเวอร์พูลมีคุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งคือจังหวะกระชากที่เปลี่ยนสปีดจากศูนย์ไปร้อยเร็วแบบน่าตกใจ แต่ตอนนี้เหมือนเครื่องยนต์เริ่มสะดุดเล็กๆ ประมาณจังหวะสองหรือสามครั้งต่อเกม และนั่นเพียงพอให้ผลลัพธ์เปลี่ยนไปทั้งหมด
ในเกมล่าสุด การเจาะพื้นที่ครึ่งช่องดูเชื่องช้ากว่าปกติ การผ่านบอลในพื้นที่แคบไม่คมเหมือนเดิม และการออกบอลของแบ็กสองฝั่งขาดประกายการสร้างความได้เปรียบที่เคยเห็นจนชินตา
แอนฟิลด์ ไม่ขลัง และพลังสนามเหย้าที่จางลงแบบจับต้องได้
ตอนเดินลงมาช่วงก่อนเตะ ผมรู้สึกถึงอะไรบางอย่างในสนามที่ไม่เหมือนเคย แอนฟิลด์ยังคงเสียงดัง ยังเต็มไปด้วยกองเชียร์ แต่พลังความเชื่อแบบที่จะพาทีมบุกกระแทกคู่แข่งตั้งแต่นาทีแรก ดูเหมือนอ่อนแรงลงเล็กน้อย พูดง่ายๆ คือทีมที่มาเยือนเริ่มกล้าหายใจ เริ่มกล้าตั้งเกม และเริ่มเชื่อว่าไม่จำเป็นต้องกลัวเหมือนเมื่อสามสี่ปีก่อน
ผมเคยเห็นคู่แข่งบางทีมเดินลงสนามพร้อมสายตาระแวงราวกับรู้ตัวว่าโดนเล่นงานแน่ๆ แต่ตอนนี้คู่แข่งเริ่มยืนลึกอย่างมีระบบ ไม่ได้กลัวความเร็ว ไม่ได้กลัวพลังการบุกเป็นคลื่นของลิเวอร์พูลเหมือนเมื่อก่อน และมันเป็นเรื่องที่โค้ชใหญ่อย่างอาร์เนอ สล็อตเองก็คงรับรู้ได้เช่นกัน
ในเกมนี้ การโดนตีเสมอหนึ่งต่อหนึ่งไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย แต่ที่น่าคิดคือหลังจากโดนตีเสมอแล้ว ลิเวอร์พูลแทบไม่มีจังหวะเร่งเครื่องที่ทำให้สนามเดือดแบบที่เคยทำเป็นประจำ มันเหมือนทีมกำลังค้นหาตัวตนใหม่ที่ยังไม่เข้าที่เสียที
ปมลึกที่ไม่ใช่แค่เกมรับหรือเกมรุกแต่คือจิตวิทยาของทั้งทีม
การยิงไม่ได้ในครึ่งแรกสี่เกมติดไม่ใช่แค่สถิติ แต่มันคือภาพสะท้อนว่าทีมขาดจังหวะเปิดสวิตช์ที่เคยเป็นจุดเด่น ลิเวอร์พูลยุคก่อนจะใช้ช่วงยี่สิบนาทีแรกเป็นพื้นที่ปล่อยพลัง กดคู่แข่งให้ตั้งเกมไม่ได้ แต่ช่วงหลังทีมกลับเริ่มช้ากว่าปกติ เหมือนต้องใช้เวลาอุ่นเครื่องมากขึ้น
ผมสังเกตเห็นนักเตะบางคนเช็คจังหวะก่อนเล่นมากกว่าที่เคย บางคนส่งบอลแบบปลอดภัยมากขึ้น บางคนพยายามเล่นตามระบบมากเกินไปจนขาดความกล้าในการจู่โจมเฉียบคม สิ่งเหล่านี้สะสมทีละนิดจนทำให้ความน่ากลัวลดลง
เกมที่เคยโหมบุกจนคู่แข่งตั้งตัวไม่ทัน ตอนนี้กลับตกอยู่ในสถานการณ์ที่คู่แข่งจับจังหวะได้ง่ายขึ้น ผมคิดว่าแม้จะมีแนวทางการเล่นที่ดี แต่การขาดประกายความดุดันทำให้ทีมอย่างซันเดอร์แลนด์ที่เล่นอย่างมีวินัยกล้าตอบโต้มากขึ้น และกล้าที่จะเสี่ยงเพื่อหาจุดอ่อนมากขึ้นด้วย
แอนฟิลด์ ไม่ขลัง เมื่อโมเมนตัมของทีมคู่แข่งหันมาเข้าทางพวกเขา
อีกสิ่งที่ผมสังเกตชัดในสามเกมหลังคือคู่แข่งที่มาเยือนเริ่มเชื่อว่าแอนฟิลด์ไม่ใช่ป้อมปราการที่เจาะไม่เข้าอีกต่อไป ผมคุยกับทีมงานคนหนึ่งของฝั่งเยือนก่อนเริ่มเกม เขาบอกว่าตอนนี้หลายทีมมองว่าการมาเยือนตรงนี้ไม่ใช่ภารกิจที่เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว และมีโอกาสกลับออกไปพร้อมแต้มอย่างน้อยหนึ่งแต้มมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะ
สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ดูหนักขึ้นคือความไม่เด็ดขาดในพื้นที่สุดท้าย ลิเวอร์พูลมีจังหวะเข้าทำที่เกือบจะได้ประตูแบบนับนิ้วได้ แต่จังหวะสุดท้ายขาดความคม ขาดความกล้า และขาดความเร็วบางอย่างที่เคยมีจนคู่แข่งต้องถอยหลังแบบไม่คิดชีวิต
ตอนที่ทีมถูกนำในสองเกมก่อนหน้า ผมเห็นสัญญาณหนึ่งที่น่ากังวล คือการตอบสนองที่ช้าลง ไม่ได้พุ่งใส่คู่แข่งทันทีเหมือนทีมที่เคยทำลายสถิติได้มากมายในอดีต และเมื่อรวมเข้ากับความเชื่อของคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น มันยิ่งทำให้ภาพแอนฟิลด์ยุคใหม่ดูแตกต่างจากภาพจำที่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก
สิ่งที่ทีมต้องเร่งแก้และสัญญาณที่แฟนบอลควรจับตา
แม้ผลงานช่วงนี้จะทำให้แฟนบอลหนักใจ แต่ผมเชื่อว่านี่ไม่ใช่ปัญหาที่แก้ไม่ได้ ลิเวอร์พูลต้องเร่งคืนความดุดันในช่วงต้นเกม เพราะนั่นคือหัวใจสำคัญของทีมนี้มาทุกยุค การเคลื่อนที่ต้องคมขึ้น การประสานงานในพื้นที่สุดท้ายต้องแม่นขึ้น และการสร้างพื้นที่ต้องกลับมามีชั้นเชิงแบบที่ทำให้คู่แข่งตั้งรับไม่ทัน ufa800
อีกอย่างคือต้องคืนความมั่นใจให้กองหน้าและตัวทำเกมที่ดูเหมือนกำลังลังเลในบางจังหวะ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของทีมที่กำลังเจอช่วงเปลี่ยนผ่าน เพียงแต่ต้องหาให้เจอว่าอะไรคือจุดที่รั่วและต้องอุดก่อนจะสายเกินไป
ผมมองว่าหากลิเวอร์พูลกลับมาคว้าชัยในบ้านได้เร็วที่สุด พลังศรัทธาของสนามนี้จะกลับมาเอง เพราะแอนฟิลด์มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่ไหนในโลก และพลังจากแฟนบอลสามารถเปลี่ยนโมเมนตัมของทีมได้ในพริบตา หากทุกอย่างลงล็อกอีกครั้ง
สิ่งสุดท้ายที่อยากให้จับตาคือสภาพแวดล้อมรอบทีมหากเกิดแรงกดดันมากเกินไปอาจพาทีมสู่ช่วงเวลาคล้ายกับตอนที่ อโมริม เสียวทำสถิติสุดแย่ ซึ่งเป็นตัวอย่างว่าความกดดันภายนอกสามารถกัดกินทีมได้อย่างไร หากจัดการไม่ดีพอ
ทั้งหมดนี้คือภาพที่ผมเห็นจากข้างสนาม และมันทำให้ผมเชื่อว่าแม้แอนฟิลด์ช่วงนี้จะไม่ขลังเหมือนเคย แต่ทีมนี้ยังมีความเป็นลิเวอร์พูลอยู่เต็มเปี่ยม เพียงแค่ต้องจูนจังหวะให้ลงตัวอีกครั้งเท่านั้นเอง