บาร์เซโลน่า vs แอต.มาดริด

บาร์เซโลน่า vs แอต.มาดริด คือเกมที่แฟนบอลรอคอยแบบไม่ต้องถามไถ่กันให้เสียเวลา เพราะทุกครั้งที่สองทีมนี้เจอกัน มันเหมือนการนัดประชันกันของปรัชญาฟุตบอลสองขั้ว ด้านหนึ่งคือการสร้างสรรค์เกมที่บาร์เซโลน่าใช้เป็นอาวุธหลักมาตลอด และอีกด้านคือความดุดันแบบเข้าถึงตัวของแอตเลติโก มาดริดภายใต้ ซิเมโอเน่ ที่เหมือนนักรบไม่รู้จักเหนื่อย

บรรยากาศก่อนเกมรอบนี้มันยิ่งทวีความตึงเครียดขึ้นไปอีก เพราะมันคือเกมแย่งพื้นที่จ่าฝูงแบบตรงไปตรงมา บาร์ซ่ายืนหนึ่งอยู่ก็จริง แต่ช่องว่างมันไม่ได้หนาแน่นอะไรเลย ส่วนตราหมีก็กำลังอยู่ในโมเมนตัมที่ดีสุดในรอบหลายเดือนแบบไม่เกินจริง ชนะมา 7 เกมติดทุกรายการ โมเมนตัมมันมาเต็มแบบนี้ ต่อให้บุกคัมป์ นู ก็ไม่ได้ทำให้นักเตะแอต.มาดริดใจแกว่งแต่อย่างใด

สิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจยังไม่รู้คือช่วงนี้ภายในทีมเจ้าบ้านมีข่าวดีหลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการเตรียมความพร้อมของตัวหลักที่ทยอยกลับมา ฟลิคเหมือนมีไพ่ในมือเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และนั่นทำให้รูปเกมที่เรากำลังจะได้เห็นมันยิ่งคาดเดายากขึ้นไปอีกระดับ

บาร์เซโลน่า vs แอต.มาดริด โทนสนามจริงที่คุณจะได้กลิ่นไอการแข่งขันเต็ม ๆ

ขอเล่าแบบคนอยู่ข้างสนามจริง ๆ ตอนซ้อมก่อนเกม ไม่ว่าจะเป็นรอบวอร์มอัปหรือช่วงทดสอบสมรรถภาพนักเตะ สิ่งแรกที่ผมสัมผัสได้คือโฟกัสของฝั่งบาร์เซโลน่ามันคมมากกว่าช่วงเดือนก่อนแบบคนละโลก บรรยากาศในทีมมันเหมือนโดนกระตุ้นด้วยอะไรบางอย่าง—อาจเพราะรู้ดีว่านี่คือแมตช์ที่ต้องการคำประกาศความเป็นผู้นำ ให้ลีกได้เห็น

ข่าวดีที่ชัดเจนคือการกลับมาของ เดอ ยอง, กุนเด้ และ เปดรี้ ซึ่งแต่ละคนคือฟันเฟืองที่ทำให้บาร์ซ่าเล่นฟุตบอลแบบที่พวกเขาต้องการได้ ส่วนแนวรุกก็ยังวางใจได้เต็มที่เพราะ ยามาล กับ ราฟินญ่า อยู่ในฟอร์มที่สะเด่าพอตัว แถม เลวานดอฟสกี้ ก็ยิ่งดูมีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นเมื่อถึงเกมใหญ่แบบนี้

มีคีย์เวิร์ดหนึ่งที่ถูกพูดถึงในสื่อท้องถิ่นที่ผ่านมาอย่าง บาร์เซโลน่า ไฟเขียว อเราโฮ่ ซึ่งสะท้อนว่าภายในสโมสรมีความเชื่อมั่นเรื่องความฟิต แต่เกมนี้เจ้าตัวดูเหมือนจะยังไม่พร้อมเต็มร้อย จึงอาจเป็นอีกหนึ่งจุดที่ฟลิคต้องเสริมระบบป้องกันให้เนียนที่สุดเท่าที่จะทำได้

ในทางกลับกัน แอต.มาดริดเองตอนเห็นการลงซ้อมของพวกเขา ผมรับรู้ได้แบบไม่ต้องตีความเลยว่าทีมนี้ไม่กลัวใครทั้งนั้น ไม่ใช่แค่ได้โมเมนตัม แต่ระบบการเล่นที่ซิเมโอเน่วางไว้ชัดเจนมาก ทุกคนขยับกันแบบรู้หน้าที่จนเหมือนร่างเดียวกัน โดยเฉพาะแดนกลางที่นำโดยโกเก้กับบาร์รีออส พวกเขาพร้อมบีบ พรากบอล และคุมจังหวะแบบไม่ปล่อยให้บาร์เซโลน่าหายใจง่าย ๆ เลย

ที่น่าสนใจคือการเลือกใช้งาน ฮูเลียน อัลวาเรซ ในฐานะตัวหน้าเป้า เหนือ ซอร์ลอธ ทั้งที่เจ้าตัวเพิ่งยิง 2 เม็ดในเกมล่าสุด นี่แหละความเป็นซิเมโอเน่—เขาไม่ได้เลือกนักเตะแค่เพราะสกอร์ แต่เลือกเพราะความเข้ากันในระบบ และอัลวาเรซเป็นคนที่ไล่กดดันแนวรับบาร์ซ่าได้ดีกว่าแบบชัดเจน

มุมแท็กติกที่ซ่อนอยู่หลังเกมใหญ่

ทั้งสองทีมมีรูปแบบการเล่นที่รู้กันดีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เกมนี้พิเศษคือปรับจูนเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจสร้างความต่างแบบช็อตต่อช็อต

บาร์เซโลน่า

  • เกมสร้างจังหวะจากคู่กลางคือหัวใจสำคัญ เดอ ยอง + เปดรี้ จะพยายามกำหนดความเร็วของเกม
  • ปีกสองข้างจะถูกดันสูงเพื่อดึงแนวรับแอตฯ ให้แหว่ง
  • เลวานดอฟสกี้ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ยิง แต่จะถอยลงมาล้วงบอล เปิดพื้นที่ให้อีกสองแนวรุกสอดขึ้นไปยิง

แอต.มาดริด

  • ซิเมโอเน่จะตั้งไลน์กดดันตั้งแต่กลางสนาม ไล่บีบไลน์สร้างเกมของบาร์ซ่าแบบไม่ให้ตั้งตัว
  • การขึ้นเกมทางวิงแบ็กยังเป็นอาวุธสำคัญ โดยเฉพาะฝั่ง รุจเจรี่ ที่เล่นดุดันกว่าที่คนส่วนใหญ่รู้
  • อัลวาเรซจะมีบทบาทสำคัญในการวิ่งกดคู่เซนเตอร์บาร์ซ่าให้เปิดบอลลำบาก

ที่น่าสนใจคือทั้งคู่เน้นจังหวะเปลี่ยนเกมเร็ว เหมือนกัน ถ้าใครเสียบอลกลางสนามขึ้นมา โอกาสโดนสวนทีเดียวถึงหน้าประตูเกิดขึ้นได้ทันที

บาร์เซโลน่า vs แอต.มาดริด ภาพรวมเกมที่น่าจะเกิดขึ้นและความเป็นไปได้ของผลแข่ง

ถ้าถามแบบผู้สื่อข่าว ufa800 ที่เห็นทั้งสองทีมฝึกซ้อมและสังเกตจังหวะเล็ก ๆ ที่หลายคนมองไม่เห็น บอกเลยว่าเกมนี้ไม่มีฝั่งไหนเหนือกว่าแบบชัดเจน ไม่ใช่เกมที่เจ้าบ้านจะเดินหน้าใส่แล้วคว้าชัยง่าย ๆ และไม่ใช่เกมที่ตราหมีจะมาเน้นรับอย่างเดียวเหมือนหลายปีก่อน

สิ่งที่ผมคาดคือเกมจะมีความเร็วสูงตั้งแต่นาทีแรก บาร์ซ่าจะครองบอลได้มากกว่า แต่แอต.มาดริดจะมีจังหวะสวนที่คมกว่าสำหรับ 3–4 ครั้ง ซึ่งอาจเปลี่ยนโฉมแมตช์ได้ทันที

ต้องยอมรับว่ามีอีกปัจจัยหนึ่งที่น่าสนใจ ความกดดันของบาร์ซ่าในฐานะจ่าฝูง หากเกิดความผิดพลาดเล็กน้อย แอต.มาดริดพร้อมลงโทษทันทีแบบไร้ปรานีส่วนฝั่งตราหมี แม้มีความมั่นใจสูง แต่การบุกคัมป์ นูยังคงเป็นงานยากเสมอ ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหนก็ตาม

ผลการแข่งขันที่ผมมองว่ามีความเป็นไปได้มากที่สุด:
บาร์เซโลน่า 2-2 แอต.มาดริด
เป็นเกมที่เปิดหน้าแลกกันอย่างหนักและอาจกลายเป็นหนึ่งในแมตช์คุณภาพระดับบนสุดของฤดูกาลนี้เลยก็ว่าได้